ฉันเคยได้ยินคนบอกว่า “เงินเป็นของกลางๆ ไม่ดีไม่เลว ขึ้นอยู่กับคนใช้ว่าจะใช้อย่างไร”
กลับมานึกถึงคำนี้อีกครั้ง นอกจากจะเห็นว่าเงินเป็นของกลางและของกลางๆ แล้ว ฉันก็สะดุดกับประโยคสร้อยที่บอกว่า “จะดีจะเลว ขึ้นอยู่กับคนใช้” เพราะมันกำหนดไปล่วงหน้าแล้วว่ามีคนที่มีเงินให้ใช้ อยู่ มองแบบนี้ก็ทำให้ฉันตระหนักว่า คนที่มีเงินให้ใช้เนี่ยมีอำนาจนะ กำหนดให้เงินกลายเป็นของดี หรือของเลวก็ได้
ฉันได้เริ่มคิดเรื่องนี้เมื่อหลายเดือนก่อน หลังชมการแสดงอันหนึ่งจบ การแสดงนั้นชื่อ “TRANSACTION (พอ-นิยม)”
“การแสดงเต้นร่วมสมัย” แหวกแนวเรื่องนี้เล่นกับผู้ชมเต็มที่ เริ่มด้วยที่นักแสดงมายืนเรียงกลางห้อง ขอโทษขอโพย บอกไม่มีอะไรจะแสดง แล้วจัดการคืนเงินค่าตั๋วใส่ซองให้ผู้ชมทั้งหมด แต่เพราะคณะนักแสดงถังแตก พวกเขาก็เลยสรรหากลเม็ดนู่นนี่ จัดกิจกรรมการแสดงหลากหลายมาล่อเงินในกระเป๋าผู้ชม ตั้งแต่เล่นเกมปาบอลใส่ซอมบี้ เร่ขายลูกอมมะขามศักดิ์สิทธิ์ ไปจนเปลื้องผ้าให้เราเอาเงินไปเหน็บขอบกางเกง
มีคนเขียนวิจารณ์ดีๆ ไปมากแล้ว ฉันจึงจะไม่พูดซ้ำ นอกจากอยากเล่าถึงความรู้สึกอึดอัด และเรื่องที่วนเวียนในหัวหลังจบงาน
ตอนที่การแสดงใกล้จบ นักแสดงทำให้ฉันอึดอัดมาก เพราะเล่นขอเงินจากผู้ชมจนหยดสุดท้าย คนคุมเสียงและภาพออกมาบอกว่า “เราขาดทุนจริงๆ ครับ ช่วยหน่อยนะครับ” ประมาณยี่สิบรอบ จนฉันไม่รู้จะวางตัวอย่างไร
ฉันตระหนักอยู่ตลอดเวลาถึงอำนาจเงินในมือของตัวเอง ฉันเลิกคิดไม่ได้ว่าที่มาดูการแสดงนี้ ฉันก็เป็น “คนให้เงิน” แล้วคนแสดงก็มีหน้าที่ตอบสนองให้เราพอใจ การเน้นย้ำเรื่องเงิน มันทุบทำลาย “ความอิน” หรือ “ความเข้าอกเข้าใจ” ทั้งปวงที่อาจมีได้จากงานศิลปะการแสดง
หลังการแสดงจบ ใจฉันหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับบางฉากใน Transaction ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น Moral Transaction ที่คนขอเงินเรียกร้องเอาจากคุณค่าศีลธรรมบางอย่างของเรา อย่างเช่น การให้เงินคนเพื่อไปตามฝันของตัวเอง การให้เงินควาญช้างซื้อกล้วยป้อนช้าง ฉันสะท้อนย้อนคิดว่า ที่ฉันให้เงินไปมากมายกับเรื่องเหล่านี้ เพราะฉันอยากจะใช้เงินในทางที่ “ดี” หรือเปล่า แล้วการให้เงินไปแลกความดี มันมีความหมายอย่างไร
มีความดีไหนด้วยเหรอที่ไม่ได้ผ่านการซื้อขายกันมา
+ + +
เย็นวันหนึ่ง ครอบครัวชนชั้นกลางไปทานข้าวที่ร้านอาหาร แล้วมีแม่ค้าหาบเร่เข้ามาขายในร้าน แม่ค้าแกขายขนมไทยพวกตะโก้ ขนมชั้น อะไรอย่างนั้น ครอบครัวนี้เห็นแล้วก็สงสาร เลยจัดการซื้อตะโก้ไปห้ากล่อง ตั้งใจจะเอาไปใส่บาตรพระวันพรุ่ง แม่ค้าแถมให้อีกกล่องหนึ่ง ครอบครัวนี้รู้สึกแย่ ที่แม่ค้าจะให้อะไรฟรีๆ แบบนั้น เลยจะจ่ายให้ครบจำนวน แต่แม่ค้าตอบกลับว่า ซื้อเยอะ เลยแถมให้
ครอบครัวนั้นกลับบ้านมาเขียนสเตตัสเฟซบุ๊กเล่าถึงเหตุการณ์นี้ พร้อมลงท้ายว่า “ถ้าพ่อค้าแม่ขายทุกระดับมีน้ำใจ เห็นแก่คนอื่นแบบนี้ ประเทศไทยคงดีกว่านี้แน่” แล้วก็จิกกัดนักการเมืองหนึ่งดอก
มีคนไลค์สเตตัสนี้อยู่เป็นร้อย แต่ฉันอ่านแล้วอยากจะอ้วก
คนเล่าเรื่องจ่ายเงินไป ได้ความดีกลับมา (เอาไปใส่บาตรพระ) โดยที่ยังมองแม่ค้าด้วยสายตาว่าเขาต่ำต้อยกว่าเรา ขนมตะโก้อะไรก็ไม่อยากกินหรอก สงสารเฉยๆ เลยซื้อไปทำบุญ
คนเล่าเรื่องกลายเป็นคนดีแล้ว ยังไปกำหนดให้แม่ค้าคนนี้เป็นคนดีได้อีก เทียบกับนักการเมืองที่เป็นคนเลวได้อีกต่อหนึ่ง
ช่างเป็นคนดีขี้สงสาร ใจบุญสุนทารเหลือเกิน รักชาติ รักสังคมเสียอีก
นอกจากจะกำหนดให้เงินเป็นของดีหรือของเลวได้ คนให้เงินยังกำหนดให้ตัวเองเป็นคนดีได้อีกด้วย!
คิดต่อไปอีกขั้น ก็ไม่ยากจะที่เห็นว่า คนที่ไม่มีเงิน คนที่ถูกจ่ายเงิน มีอำนาจน้อยกว่าที่จะกำหนดว่าอะไรดีอะไรเลว บางทีพวกเขาต้องขายตัวเอง (เหมือนนักแสดงที่ขายเนื้อหนังตัวเอง) เพื่อให้ได้เงิน จนพวกเขาถูกกำหนดว่าเป็นคนเลวได้หน้าตาเฉย
ความดีของคนดี กลายเป็นกำไร ขูดรีดมาจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนทางศีลธรรม
คนมีเงิน เลยมีสิทธิเลือกจะเป็นคนดีได้ง่ายๆ ไม่ต้องคิดมาก
คนมีเงิน เลยมีสิทธิจะกำหนดให้คนอื่นเป็นคนเลวได้ง่ายๆ ไม่ต้องคิดเลย
ฉันเบื่อหน่ายกับคำปรามาสที่คนดีเหล่านี้มีต่อผู้ชุมนุมเสื้อแดง ว่าเป็นพวกที่รับเงินมา ไปดูคลิปนั้นสิๆ แล้วจากนั้นก็ชมตัวเองว่า “นี่เห็นไหมม็อบคนดีผู้มีการศึกษา มาด้วยใจ ไม่ต้องจ้าง บ้านกูรวย”
เมื่อ “เงิน” กลายเป็นขั้วตรงข้ามกับ “ใจ” คนเสื้อแดงที่ถูกกล่าวหาว่ารับเงินมา ก็เลยไม่มีใจ ไม่มีความเป็นคน กลายเป็นฝูงควายแดงหน้าเงิน
ควายแดงรับเงินกำนัล
แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้าคนเหล่านั้นวันๆ ต้องทำงาน มาชุมนุมก็เสียรายได้ ต้องมีค่ารถ ค่าอยู่ค่ากิน ควายแดงอย่างฉันก็ไม่เห็นจริงๆ ว่าถ้าเขารับเงินมา เขาจะมาด้วยใจไม่ได้หรือยังไง (อย่างในการแสดง Transaction ถ้าเขาจะได้เงินมาหล่อเลี้ยงคณะมากขึ้นหน่อยจากการเปลื้องผ้า เขาต้องเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า)
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลรักษาการตัดทางเงินม็อบนกหวีด เหล่าคนดีเลยแห่แหนเอาเงินไปให้ลุงกำนันสุเทพ รวมแล้ววันเดียวได้เจ็ดแปดล้าน
ให้แล้วพวกเขาคงรู้สึกอิ่มบุญ ได้ทำความดี แถมยังได้ตอกหน้ารัฐบาลปูของควายแดงอีกว่า พวกฉันมีเงิน พวกแกทำอะไรไม่ได้หรอก ฮ่าๆๆ
“คนดีมีเงิน” เหล่านี้ ไม่ตะขิดตะขวงใจใดๆ ที่จะเอาอำนาจเงินของตัวเองมาแลกกับความดี แล้วไปกำหนดคนอื่นในสังคม (ทั้งที่มีเงินและไม่มีเงิน) ว่าเป็นคนเลว ได้กำไรสองต่อ
คนดีให้เงินกำนัน
ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่อะเมซิ่ง ไทยแลนด์