“ประเทศไทยเราไม่มีการเหยียดผิว ฉันเกิดและโตที่เมืองไทย ฉันจึงไม่รู้จัก racism ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาที่มีการกดขี่คนผิวดำเป็นทาส และยังมีระบบแบ่งแยกผิวหลังจากนั้น จึงเป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน”
คนไทยที่ไปเรียนที่สหรัฐอเมริกามีความคิดทำนองนี้อยู่มาก
ควายแดงอย่างฉันได้ยินแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว
แต่ถ้าฉันเกิดมาเป็นวัวตัวขาวอมชมพู ฉันอาจจะหลงเชื่อไปอย่างเขาก็เป็นได้
วันนี้ฉันบังเอิญไปเจอหนังสือการ์ตูน “ปัญจาวุธชาดก” ที่โฆษณาตัวเองไว้ว่าเป็น “การ์ตูนสนุกพร้อมข้อคิดสะกิดใจ”

แค่เห็นปก ก็เริ่มสะกิดใจแล้ว พับผ่าสิ!
พอฉันพลิกๆ ดู ฉันก็เห็นว่านี่เป็นตัวอย่างอันดี ของ racism ในสังคมไทย (ในยูทู้บมีคลิปการ์ตูนด้วย แต่ภาพไม่เหมือนกับในหนังสือนะ http://www.youtube.com/watch?v=c8yjaPgMFww)
ขอเล่าเรื่องสักหน่อย พระเอกของเราคือโอรสของเจ้านครพาราณสี ฉลาดปราดเปรื่อง ขี่ม้าก็เก่ง รำดาบก็เก่ง แต่งตัวก็หล่อ ซิกแพ็คก็แน่นเปรี๊ยะ จมูกก็โด่ง ผิวก็ขาว พระเอกของเราไปศึกษาศิลปวิทยาจนครบถ้วนกระบวนท่าอาวุธทั้งห้าอย่าง สมชื่อปัญจาวุธที่โหรทำนายไว้ กราบลาอาจารย์กลับบ้านของพ่อ แต่พระเอกของเราเลือกทางเดินในป่าที่ดูแปลกตา ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชาวบ้านก็เลยเตือนพระเอกของเราว่า “อย่าไปทางนี้เลย ในป่านี้มียักษ์ขนเหนียวอาศัยอยู่ ถ้ามันเห็นเจ้า มันต้องจับเจ้ากินแน่ๆ”
แต่พระเอกของเราก็หาหวาดหวั่นไม่ ก้าวย่างต่อไปสมกับเป็นพระเอก ก็เลยไปเจอยักษ์ผู้มีขนเหนียวเป็นตัง ตัวดำเป็นสีขี้ม้า ตาแดงก่ำ เขี้ยวขาวงอกเด่น หัวล้านครึ่งกบาล ผมที่เหลือหยิกหย็องเป็นหย่อมๆ เหมือนรูปวาดเงาะป่า ตัวสูงห้าหกเท่าของพระเอกของเรา ขนดกดำไปหมดบนหัวไหล่ หน้าอก หน้าท้อง แผ่นหลัง ท่อนแขน ไปจนถึงหน้าแข้ง
เห็นพระเอกของเราเดินมา ก็รำพึงอย่างสบายใจว่าโฮะๆ ดีจริง วันนี้มีอาหารเดินมาให้เรากินเลย แต่พระเอกของเราหรือจะยอม เขาใช้อาวุธทุกอย่างตบตียักษ์ไป แต่ฟาดอะไรไปก็ติดขนหน้าแข้งมันหมด เหวี่ยงหมัดฟาดแข้งไป ก็ติดแหง็กบนหนังเหนียวๆ ของยักษ์มันนั่นแหละ
และในขณะที่พระเอกดูจนตรอกนั้น ก็ได้วางไพ่ใบสุดท้าย บอกยักษ์ว่าในตัวของข้ามี “วชิราวุธ”* “ถ้าเจ้ากินเรา เจ้าก็ต้องตายเหมือนกัน เพราะวชิราวุธในท้องเราจะบาดไส้พุงของเจ้าให้ขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”

ปัดโถ่เว้ย! พระเอกของเราไม่แน่จริงนี่หว่า หมดทางสู้ก็ขู่เขา
ยักษ์ได้ฟังดังนั้นก็ครั่นคร้าม เลยวางพระเอกของเราลง
ไม่ทันจะปัดฝุ่นปัดขนออก พระเอกของเราก็ประทับบนโขดหินแล้วเทศนายักษ์ด้วยสุรเสียงอันไพเราะ ว่าเจ้าก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก จึงต้องมาเกิดเป็นยักษ์ มาฆ่าแกงคนอื่น ตายไปแล้วเจ้าก็จะไปเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้มาเกิดเป็นคน เจ้าก็จะอายุสั้น ฉะนั้นเจ้ารักษาศีลห้าเถอะ
พี่ยักษ์ก็นั่งคุกเข่า ประนมกรเสมอคาง ฟังคำเทศนาของพระเอกของเราโดยดุษณี ภาพถัดไปเป็นพี่ยักษ์นั่งขัดสมาธิ หลับตาพริ้ม
แล้วนิทานชาดกก็จบ เฉลยว่าพระเอกของเราคือพระพุทธเจ้า ส่วนพี่ยักษ์ก็คือองคุลีมาล พล็อตเรื่องเดิม พระเอก-ผู้ร้าย ไม่น่าแปลกใจเลย
เล่ามาเสียยาว แล้วมันเกี่ยวกับ racism ยังไงวะ?
ฉันว่ามันเกี่ยวมากๆ เลย ทั้งในตัวเนื้อเรื่องเองที่เป็นเรื่อง “อารยันสยบมาร” และตัวภาพการ์ตูน ที่เป็นการวาดภาพระบายสีร่างกายของพระเอกให้เป็นมนุษย์ผิวขาว และวาดภาพระบายสียักษ์ให้เป็นสัตว์อมนุษย์ตัวดำ
ฉันจำได้ว่าตอนเรียนประวัติศาสตร์อารยธรรมอินเดียในหลักสูตรม.ปลาย เขาสอนฉันว่า อารยธรรมอินเดียเกิดขึ้นมาได้จากที่คนอารยันผิวขาวตัวสูงใหญ่ มารุกรานพวกฑราวิฑ พวกดราวิเดี้ยนผิวคล้ำ ที่เป็นชนพื้นถิ่นอยู่ก่อนให้มาอยู่ใต้อาณัติของตน
มารู้เอาทีหลังว่านี่เป็นประวัติศาสตร์ฉบับดักดาน ฉบับคนขาวหลงตัวเอง ออกนาซีนิดๆ คิดว่าเชื้อสายอารยันของตนเป็นผู้สร้างสรรค์ความเจริญแต่ฝ่ายเดียว
นิทานเรื่องนี้ก็สะท้อนพล็อตเรื่องแบบนั้น คือมียักษ์อาศัยอยู่ในป่า ตอนจบเจ้าชายจากกรุงพาราณสีมาปราบ แล้วก็เทศนาจนยักษ์เลื่อมใสศรัทธา
ฉันยังไม่ได้อ่านชาดกอย่างที่ปรากฏในพระไตรปิฎกจริงๆ แต่ที่แน่ๆ ร่างกายของพระเอกของเรา กับตัวร้ายของเรา ก็แตกต่างกันชัดเจน ตั้งแต่ชื่อของยักษ์ “สิเลสโลมะ” แปลว่าผู้มีขนเหนียวเป็นตัง ก็พอสรุปได้ว่า “การมีขนเหนียวเป็นตัง” นั้นเป็นสิ่ง “อัปลักษณ์” “ไม่ศิวิไล” ส่วนพระเอกของเราเป็นถึงราชโอรสที่แกล้วกล้าสามารถ ขี่ม้า ยิงธนู รำดาบ รำกระบอง อะไรได้หมด ร่างกายของเขาก็คงกำยำ สมเป็นชายชาตรี อย่างไรก็ดี เราไม่รู้ว่าสีผิวของเขาเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่ามี “พระลักษณะที่เปี่ยมด้วยบุญญาธิการ”
(เอ้อ ตอนฉันเป็นเด็ก ฉันกลัวญาติของฉันคนหนึ่งมาก เพราะว่าเขาตัวท้วมดำ และมีขนแขน! (แต่เดี๋ยวนี้ฉันกลับเห็นว่าขนดกเซ็กซี่ดีออก :3))
แต่การวาดภาพระบายสีโดยศิลปินไทย ได้เติมคำในช่องว่าง ปิดจินตนาการถึงร่างกายของพระเอกและผู้ร้ายของเรื่องไปหมดสิ้น พระเอกของเรากลายเป็น “อารยัน” สมบูรณ์แบบ ผิวขาว จมูกโด่ง หน้าคม ผมยาวสยาย สูงโปร่ง หล่อล่ำอย่างกับกัปตันอเมริกา อาจจะใส่ชุดแขก(ขาว)หน่อยพอให้ดูอินเดียๆ
ส่วนพี่ยักษ์ก็กลายเป็น “ปีศาจ/คนดำ” ผิวดำ ตาโปนแดงก่ำ จมูกแบน เขี้ยวงอก ไม่ใส่เสื้อผ้า (นอกจากกางเกงลิง) ผมหยิกหย็องจับกันเป็นก้อน มีขนขึ้นเต็มตัว ตัวใหญ่มหึมาแต่ไม่ได้สัดส่วน
อ่านมาถึงตรงนี้ท่านอาจบอกว่าควายแดงอย่างฉันอคติเกินไป ต้องวาดยักษ์ให้อัปลักษณ์น่ากลัวก็ต้องวาดออกมาทำนองนี้เพื่อสอนคติธรรม จะให้วาดยักษ์ตัวขาว เขี้ยวเล็กนิดเดียว หน้าเหมือนพระเอกซีรี่ส์เกาหลีเหรอ
(อืม ฉันก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ช่วยไม่ได้นิ ญาติฉันเสือกตัวท้วมดำน่ากลัวเอง ตอนเด็กๆ ฉันก็เลยกลัว (มีคนสอนฉันว่่า ถ้าใครมักโกรธ ก็จะได้ไปเกิดเป็นยักษ์ และมีผิวคล้ำไม่สวยงาม ก็ช่วยไม่ได้เนาะ อยากมักโกรธเอง))
แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น คือคนวาดภาพและลงสีการ์ตูนเล่มนี้ ไม่ได้ทำเหมือนการ์ตูนไทยทั่วๆ ไป ที่คนทุกคนสีผิวเป็นเปลือกไข่กันหมด เล่มนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ตอนต้นๆ ที่เล่าเรื่องชีวิตพระเอกของเราตอนเป็นเด็ก มีภาพพระเอกของเราเรียนหนังสือกับคนอื่น (แน่นอน พระเอกของเราเก่งที่สุด) คนอื่นๆ นั้นมีสีผิวหลากหลาย คนหนึ่งถึงกับถูกวาดให้มีลักษณะเหมือนคนผิวดำตามแบบฉบับ คือผมหยิก ผิวน้ำตาลเข้ม จมูกแบน เสียด้วยซ้ำ
นั่นคล้ายจะหมายความว่า การ์ตูนนี้ไม่ได้เพียงสร้างร่างกายสองแบบ คือร่างกายมนุษย์(ผิวขาว) กับร่างกายอมนุษย์(ผิวดำ) เพื่อมาเป็นปฏิปักษ์กันแบบฉาบฉวย ดูคล้ายคนวาดจะตระหนักรู้ถึงความหลากหลายทางสีผิวของมนุษย์ด้วยกันเอง ดูคล้ายว่าจะเป็นอย่างนั้น…
แต่สิ่งที่เด็กผิวดำคนนั้นกำลังทำ กลับคือการนั่งคุกเข่า ยกนิ้วโป้งกดไลค์ให้พระสติปัญญาของปัญจาวุธกุมารที่นั่งอยู่บนตั่ง!

ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ ภาพนี้ก็สะท้อน anti-black racism ที่ล่องลอยอยู่ในสังคม –เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเนื้อหนังมังสาของเรา– ได้โจ่งแจ้งเหลือเกิน คนตัวดำอยู่ต่ำกว่าคนตัวขาวเป็นเรื่องปกติ ในเรื่องความงาม ในเรื่องสติปัญญา ในเรื่องศีลธรรม
สังคมที่อ้างว่าตนไม่กีดกันแบ่งแยกเรื่องสีผิว แต่ก็มีที่ทางที่จำกัดจำเขี่ยให้กับคนผิวดำผิวคล้ำ ดำต้องดำเนียนและมั่นๆ ถึงจะสวย ยักษ์ต้องตัวดำ พระเอกนางเอกต้องตัวขาว (ถ้าเกิดมาตัวดำแบบเรยา เดี๋ยวโตขึ้นก็ขาวเองจ้ะ) และวลีพวก กะเทยควาย หน้าเงือก ควายแดง ก็ล้วนเกี่ยวพันกับ racism ทั้งนั้น (ฉันไม่รู้ว่าสำนวน “คนใต้ใจดำ” เกี่ยวพันกับสีผิวคล้ำของ “คนใต้” หรือเปล่า แต่ฉันรู้แน่ว่าไอ้คำ “ใจดำ” เนี่ยเกี่ยวกับ racism แน่ๆ)
ฉันเกิดและโตที่อีสานใต้ ฉันผิวคล้ำ แต่บังเอิญหน้าตาฉันไม่ได้ชัดเจนมากนักว่ามาจากไหน เดี๋ยวนี้ฉันอยู่ที่อื่น ทุกคราวที่ฉันกลับไปบ้านเกิด คนจะถามว่า ฉันขาวขึ้นนะ ไปอยู่กรุงเทพมา ฉันขาวขึ้นไหม ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามานมนาน
และบางทีเวลาฉันอยู่กรุงเทพ ไปเปิดบัญชีธนาคาร ไปทำบัตรประชาชนใหม่ ฉันถูกทักว่า อ้าว เป็นคนอีสานหรอกเหรอ นึกว่าเป็นคนกรุงเทพ อ๋อ เดี๋ยวนี้ตามเมืองในอีสานเขาก็เจริญแล้วนี่เนาะ
ควายแดงอย่างฉันได้แต่ยิ้มแหยๆ
ในใจนึกอยากจะเป็นยักษ์กับเขาสักที.
*”ในท้องข้ามีวชิราวุธ” อภิธานศัพท์ท้ายเล่มแปลคำ วชิราวุธ ว่า “อาวุธอันเป็นสายฟ้า, อาวุธที่คมราวเพชร (แท้จริงแล้ว คือปัญญาอันรุ่งโรจน์)”… แหม๋ ถ้างั้นที่พระเอกของเรามีในท้องจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ดาบสายฟ้าน่ะสิ แต่เป็นปัญญาอันรุ่งโรจน์ของมหาบุรุษ ที่ยักษ์มารตัวไหนคิดบีฑาเข้าแล้ว ลำไส้ของมันต้องถูกบาดขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!?! กูจะบ้า ร่างกายของมึงจะศักดิ์สิทธิ์อะไรได้ขนาดนี้